สูตรสำเร็จในการลดความอ้วน ลดน้ำหนัก


1 Balance your body ล้างลำไส้ใหญ่คืนสมดุลสู่ร่างกาย

รู้จักการ Detox  (ดีท๊อกซ์) การที่ร่างกายมีความสมดุล จะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีอย่างมีประสิืทธิภาพซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสู่การควบคุมน้ำหนักอย่างเป้นธรรมชาติ การ Detox หรือ ชื่อเต็มคือ Detoxification คือทำความสะอาดของเสียสะสมบริเวณลำไส้ใหญ่ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมและระบบขับถ่ายโดยอาศัยกระบวนการทางธรรมชาติ

การดีท๊อกซ์  นอกจากจะช่วยให้สมดุลกับร่างกายแล้วยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และโรคเสริมต่างๆที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายอีกมากมาย

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก และดีท็อกซ์
  • โอลิโกแซคคาไรด์ ( Oligosaccharides)
  • กลูโคแมนแนน (Glucomanan)
  • ไซเลี่ยม ซีด ฮัสค์ (Psyllium Seed Husk)
  • วีทกราส (Wheat Grass)
  • เบต้า แคโรทีน (ฺำBeta Carotene)
  • ไคโตซาน (Chitosan)
สารสกัดดังกล่าวช่วยในการ
1. บล็อคปริมาณไขมันที่เข้าสู่ร่างกาย
2. ชะล้างสิ่งสกปรกในลำไส้
3. จัดระบบสมดุลในลำไส้ใหม่


2. Block What you eat  กินอย่างไร ไม่ให้อ้วน

ในเมื่อเราไม่สามารถหยุดกินได้ เราก็ต้อง Block (บล็อค) ไม่ให้สิ่งที่กินเข้าไปถูกดูดซึมไปสะสมเป็นพลังงานในร่างกาย กระบวนการ Block (บล็อค) ที่ได้รับการยอมรับมากแบบหนึ่งคือการยับยั้งกระบวนการการย่อยแป้ง ข้าว และ น้ำตาล

Block อะไมเลส และ กลูโคซิเดส ทำให้ ร่างกายได้รับพลังงานส่วนเกินน้อยลง
โดยปกติเมื่อเราทางอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต แป้ง ข้าว และ น้ำตาล จะถูกย่อยโดย เอ็นไซม์ อะไมเลส ครั้งแรกจากต่อมน้ำลายในปากให้มีขนาดโมเลกุลที่เล็กลงจนเข้าสู่ส่วนของกระเพาะและลำไส้เล็ก ซึงตับอ่อนจะหลั่งเอ็นไซม์ อัลฟ่า อะไมเลส มาย่อยให้ขนาดโลเลกุลเล็กลงจนท้ายที่สุดที่บริเวณเยื่อบุผนังลำไส้จะมีเอ็นไซม์ อัลฟ่า กลูโคซิเดส จนกลายเป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่พร้อมดุดซึมได้การ Block (บล็อค) ไม่ให้เอ็นไซม์ อัลฟ่า อะไมเลส และ อัลฟ่า กลูโคซิเดส ทำงานจะช่วยลดอัตราการดูดซึมพลังงานส่วนเกิน ซึ่งเป็นสาเหตุความอ้วนได้

3. Burn your fat เผาผลาญไขมันส่วนเกิน

กระบวนการสุดท้ายในการควบคุมน้ำหนักคือการนำเอาพลังงานสะสมส่วนเกินในร่างกาย ที่สะสมอยู่ในรูปของหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา มาเผาผลาญ เพื่อสร้างพลังงานทดแทนส่วนที่เสียไปจากการ Block (บล็อค) เมื่อกระบวนการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ปริมาณไขมันสะสมค่อยๆ ลดน้อยลงรูปร่างจึงดูเพรียว กระชับ ได้ สัดส่วนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากเราสามารถเพิ่มกระบวนการ Block (บล็อค) แป้ง ควบคู่ไปกับกระบวนการเผาผลาญ Burn (เบิร์น) ไขมัน ก็ทำให้เราสามารถมีรูปร่างในฝันได้อย่างแน่นอน

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่กระตุ้นให้เกิดการ Burn ต้องมี สารสกัดดังต่อไปนี้
  • แอล-ออร์นิทีน (L-Ornithine)
  • แอล-ฟีนิลอะลานีน (L-Phynylalanine)
  • สารสกัดจากส้มแขก (Garcinia Cambogia)
  • สารสกัดจากเมล็ดกาแฟ (Green Coffee Bean Extract)
  • โครเมี่ยม พิโคลิเนท (Chromium Picolinate)
  • สารสกัดจากพริก (Capsicum Extract)
  • แคลเซี่ยม ไพรรูเวท (Calcium Pyruvate)
สารสกัดดังกล่าวช่วยในการ
1. ลดการดูดซึมไขมันเข้าร่างกาย
2. เพิ่มการสลายไขมันที่สะสมในร่างกาย
3. ยับยั้งการสร้างไขมันสะสมในร่างกาย
4. ทำให้อิ่มง่ายขึ้น หิวน้อยลง
5. เพิ่มอัตราการเผลผลาญพลังงาน
6. ยับยั้งการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรทเป็นไขมันสะสมในร่างกาย

ถาม-ตอบ เกี่ยวกับ เอจี บล็อค

Q :  รับประทาน เอ จี บล็อค แล้วมีอาการปวดมท้อง แสบท้อง ทำอย่างไรดี?
A : เอจี บล็อค มีส่วนผสมของสารสกัดจากพริก ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองของกระเพาะอาหารได้ในบางคน ซึ่งผนังของกระเพาะอาหารมีความไวต่อพริก อาการระคายเคืองของกระเพาะอาหารมีได้ตั้งแต่อาการแสบท้อง ปวดท้อง ร้อนท้อง จุกแน่นหน้าอกใต้ลิ้นปี่หรือแม้กระทั่งอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถึงแม้ว่าใน เอจี บล็อค จะมีส่วนผสมจากสารสกัดจากพริก แต่มักจะไม่ได้ทำให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอย่างรุนแรง ยกเว้นเสียแต่คนๆนั้น เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือมีแผลอยู่ในกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ดังนั้นหากรับประทาน เอจี บล็อค แล้วมีอาการปวดท้องแสบท้อง ก็สามารถปรับมาเป็นการรับประทาน เอจี บล็อค พร้อมอาหารในมื้อนั้นๆ เอจี บล็อค ก็ยังคงให้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน กรณีที่มีอาการปวดท้องมาก หรืออาการที่คิดว่ารุนแรง ควรได้รับการตรวจจากแพทย์ เพราะแสดงว่าคุณมีดรคกระเพาะอาหารอักเสบ หรือมีแผลในกระเพาะอาหารอยู่ก่อนแล้ว เพื่อให้แพทย์ให้การรักษาโรคที่ถูกต้อง

Q : เคยลดน้ำหนักหลายครั้งแต่ไม่ได้ผลสักที เป็นเพราะอะไร ?
A : ในความเป็นจริงถึงแม้ว่าเราจะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับการลดน้ำหนักมาเป็นตัวช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปตามเป้าหมายก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ร่างกายของคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน การตอบสนองขงร่างกายก็จะแตกต่างกัน บางคนลดน้ำหนักได้เร็วมาก แต่บางคนร่างกายต้องปรับตัวนานมากกว่าน้ำหนักจะลดลงให้เห็นได้ จึงต้องมีความอดทนและเข้าใจอย่างถูกต้อง อีกทั้งต้องมีความต่อเนื่องในการลดน้ำหนัก ซึ่งหากต้องการลดน้ำหนักจริงๆ ต้องหาเหตุผลหรือแรงบันดาลใจ ที่สามารถทำให้เรายืนหยัดได้อย่าต่อเนื่อง ปฏิบัติตนต่อการรับประทาน เอจี บล็อค และโอลิโก ไฟเบอร์ อย่างสม่ำเสมอทุกวัน ถ้าเรา ยังลืมที่รับประทานในบางมื้อ แสดงว่าเรายังไม่มีความตั้งใจที่แท้จริงที่จะลดน้ำหนัก ทำให้การลดน้ำหนักของเราไม่ได้ผล อีกเช่นเคย วันนี้ลองถามตัวเองอีกสักครั้งว่า เราจะลดน้ำหนักดวยเหตุผลหรือแรงบันดาลใจอะไรกันแน่?




Q : อยากใ้้ห้น้ำหนักลดลงเร็วๆ จะรับประทาน เอจี บล็อค อย่างไรดี?
A : โดยทั่วไปแนะนำให้ลดน้ำหนักไม่เกิน 2-4 กิโลกรัมต่อเดือน เพื่อให้รูปร่างยังคงกระชับ และมีความสมดุลต่อสุขภาพ พร้อมช่วยให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัวได้ดีกว่า ด้วยการที่ต้องการให้น้ำหนักลดลงชัดเจนนั้น ให้สังเกตว่าเมื่อรับประทาน เอจี บล็อค 1 เม็ด ต่อมื้ออาหารประมาณ 7-10 วัน โดยชั่งน้ำหนักทุกวัน (ใช้เครื่องชั่งตัวเดิมทุกครั้ง) ถ้าสังเกตว่า น้ำหนักไม่ขยับลงเลย ให้เพิ่มจำนวนเม็ดของ เอจี บล็อค ขึ้นอีกในแต่ละมื้อ อาจจะเป็นมื้อละ 2-4 เม็ด ในช่วงแรกๆ จนน้ำหนักลดลงตามที่ต้องการ จึงค่อยปรับลดจำนวนเม็ด ของ เอจี บล็อค ลงจนเป็นระยะการควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มมากขึ้น และสิ่งที่สำคัญสำหรับคนที่ต้องการเห้นผลชัดเจน ในระยะเร่งรัดก็ต้องรับประทาน โอลิโก ไฟเบอร์ 1-2 ซอง ก่อนมื้ออาหารเย็น 30 นาที ทุกวันในเดือนแรก หลังจากนั้นอาจจะรับประทาน โอลิโก ไฟเบอร์ 1 ซอง ก่อนมื้ออาหาร 30 นาที เป็นบางวัน เพียงเท่านั้นน้ำหนักก็สามารถค่อยๆ ลดลงได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน

ถาม-ตอบ เกี่ยวกับ โอลิโกไฟเบอร์-พี

Q :  โอลิโกแซคคาไรด์ คืออะไร
A :  ในระบบทางเดินอาหาร การดูดซึมสารอาหารมักเกิดขึ้นที่บริเวณลำไส้เล็กเป็นส่วนใหญ่ อาหารที่ไม่ถูกดูดซึมจะผ่านไปยังบริเวณของลำไส้ใหญ่และถูกขับทิ้งในรูปของอุจจาระในลำไส้ใหญ่จะมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงของอาหารและกากอาหาร โดยจุลินทรีย์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติในลำไส้ใหญ่ จะประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่ดี บางคนเรียกว่าจุลินทรีย์ที่เป็นมิตร (Friendly Bacterias) ทางการแพทย์เรียกว่า โปรไบโอติก (Probiotics) ส่วนกลุ่มจุลินทรีย์ที่ไม่ดีหรือไม่เป็นมิตร เรียกว่า Unfriendly Bacterias ซึ่งจะก่อให้เกิดโทษเมื่อร่างกายอ่อนแอลงเราสามารถทำให้จุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ใหญ่มีปริมาณมากขึ้น โดยการให้อาหารแก่จุลินทรีย์เหล่านี้ ซึ่งก็คือ โอลิโกแซ็คคาไรด์ (Oligosaccharides) ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุล ขนาดใหญ่ 3-10 โมเลกุลเรียงต่อกัน โดยน้ำตาลชนิดนี้จะไม่ถูกย่อยและดูดซึมในลำไส้เล็กจึงผ่านมายังลำไส้ใหญ่ และเป็นอาหารแก่จุลินทรีย์ที่ดี ทางการแพทย์เรียกอาหารเหล่านี้ว่า พรีไบโอติก (Prebiotices) จุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพของเรามีหลายชนิดด้วยกัน เช่นแลคโตแบซิลัส (Lactobacillus), บิฟิโดแบคทีเรีย (ฺฺBifido-bacteria) เป็นต้น ส่วนจุลินทรีย์ชนิดไม่ดี สามารถก่อให้เกิดโรคได้ เช่น โคลิฟอร์ม (Coliform), แบคทีรอยดีส์ (ฺBacteriodes) , และคลอสติเดียม  (Clostridium) เป็นต้น จุลินทรีย์ทั้งสองชนิดจะต้องอยู่ในสภาพที่สมดุล จึงจะไม่ก่อให้เกิดโรค หรืออาจจะเรียกว่า ระบบนิเวศน์วิทยาในลำไส้ใหญ่ต้องสมดุลนั่นเอง การมีปริมาณของจุลินทรีย์ที่ดีจำนวนมากในลำไส้ใหญ่ยังสามารถช่วยลดอาการท้องเสีย และส่งเสริมต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายป้องกันการเกิดมะเร็งของลำไส้ใหญ่ ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ลดการสะสมสารพิษที่ผนังลำไส้ และยังมีส่วนช่วยเพิ่มการดูดซึมของแคลเซียมได้อีกด้วย

Q : ไคโตซาน สามารถช่วยการลดน้ำหนักได้อย่างไร
A : ไคโตซาน เป็นสารโพลีเมอร์ชีวภาพจำพวกโพลีแซ็คคาไรด์ พบได้ในเปลือกของสัตว์ทะเล เช่น กุ้ง และปู ที่นำมาผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ ไคโตซาน จะช่วยในการยับยั้งการดูดซึมของไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการได้รับไคโตซาน ก่อนมื้ออาหาร 30-60 นาทีก็จะช่วยยับยั้งไม่ให้ไขมันถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งทำให้ร่างกายได้รับไขมันลดลง เนื่องจากไขมันเป้นสารอาหารที่ให้พลังงานสุง ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงานถึง 9 กิดลแคลอรี่ การได้รับไขมันน้อยลง เป้นการลดปริมาณพลังงานที่ร่างกายจะได้รับจากการรับประทานอาหาร จึงเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยในการลดน้ำหนักตัวได้

Q : กลูโคแมนแนน และไซเลี่ยม ซีด ฮัลค์ มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
A : ทั้งกลูโคแมนแนน และ ไซเลี่ยม ซีด ฮัลค์ เป็นกากอาหารชนิดที่ละลายน้ำได้จึงมีคุรสมบัติในการดูดซึมน้ำตาลและไขมันไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และทำให้ลำไส้ใหญ่มีการบีบตัวที่ดีขึ้น อีกทั้งยังทำให้รู้สึกอิ่มและรับประทานอาหารได้น้อยลง จึงมีการนำมาใช้ในการลดน้ำหนักตัวด้วยเช่นกัน


Q : หากต้องการลดการรับประทานอาหารมื้อเย็นให้น้อยลงสามารถรับประทาน โอลิโก ไฟเบอร์ ไดหรือไม่?
A : การรับประทาน โอลิโก ไฟเบอร์ ก่อนอาหาร 30-60 นาที จะช่วยให้รับประทานอาหารในมื้อนั้นๆ ได้น้อยลง และเป็นการช่วยลดปริมาณพลังงานที่ร่างกายจะได้รับจากอาหาร จึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยในระหว่างการลดน้ำหนักให้ได้ผลดีอีกด้วย แต่ถ้าหากเรายังคงรับประทานอาหารมากเกินไปในมื้อนั้นก้จะทำให้เกิดอาการแน่น และอึดอัดท้องได้ จึงควรรับประทานอาหารเพียงแค่พอรู้สึกอิ่มเท่านั้น

Q : เมื่อรับประทาน โอลิโก ไฟเบอร์ แล้วระบบการขับถ่ายอุจจาระจะเป็นอย่างไร?
A : โอลิโก ไฟเบอร์ ไม่ได้ผลิตขึ้นมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการขับถ่ายอุจจาระทันทีที่รับประทานเข้าไป โอลิโก ไฟเบอร์ เป็นเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ ซึ่งจะช่วยในการดูดซึมสารพิษในลำไส้ และทำให้อุจจาระนิ่มตัวไม่แข็งจนเกินไป แต่ทั้งนี้เมื่อรับประทานโอลิโกไฟเบอร์จะต้องดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้มีน้ำเพียงพอในลำไส้ใหญ่ เนื่องจากน้ำที่ร่างกายได้รับจากอาหารและการดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มจะเ้ข้าสู่ร่างกายโดยการดูดซึมที่ลำไส้ใหญ่ มีเพียงบางส่วนที่ดูดซึมที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ดังนั้นถ้าหากเราดื่มน้ำแต่ละวันน้อยเกินไปและไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย น้ำก้จะถูกดุดซึมจากลำไส้ใหญ่ ทำให้การเคลื่อนตัวของอุจจาระช้าลง ระบบการขับถ่ายก็จะช้าลงด้วยจึงแนะนำให้ดื่มน้ำไม่น้อยกว่าวันละ 2 ลิตร

ดีท็อกซ์ ด้วย โอลิโกไฟเบอร์-พี (Oligo Fiber-P)

มารู้จักกับเส้นใยอาหาร..เพื่อสุขภาพที่ดี


เส้นใยอาหาร หรือกากอาหาร Fiber

จัดอยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ลำไส้ไม่สามารถย่อยได้ และจะไม่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งไม่ให้พลังงานแก่ร่างกายแต่เป็นส่วนประกอบที่จำเป็นที่ร่างกายเราต้องได้รับเส้นใยอาหารอย่างเพียงพอในแต่ละวัน เพื่อทำให้ระบบการทำงานของร่างกายของเราทำงานได้เป็นปรกติ โดยเฉพาะระบบการทำงานของลำไส้ทำให้มีการเคลื่อนไหว และการบีบตัวของลำไส้มีการขับถ่ายของเสียในลำไส้ออกไปอย่างสม่ำเสมอทุกวัน แต่ถ้าหากมีการสะสมของอาหารที่ตกค้างอยู่ในลำไส้นานเกินไป อาจจะส่งผลให้เกิดการเน่าเปื่อยของอาหารเหล่านั้น และสารพิษอันเกิดจากแบคทีเรียบางชนิดในลำไส้ ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย อาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดและหัวใจ เป็นต้น

ประเภทของเส้นใยอาหาร
เส้นใยอาหาร แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ เส้นใยอาหารชนิดที่ละลายน้ำได้ และเส้นใยอาหารชนิดที่ไม่ละลายน้ำ

เส้นใยอาหารชนิดที่ละลายน้ำได้ (Water-Soluble Fiber) เป็นเส้นใยอาหารที่มีลักษณะคล้ายๆเป็นวุ้น ประกอบด้วย กลุ่มเพคติน กัม มิวซิเลช มีความสามารถในการดูดจับไขมันและน้ำตาลไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จึงมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับไขมัน และน้ำตาลในเลือดได้

เส้นใยอาหารชนิดที่ไม่ละลายน้ำได้ (Water-Insoluble Fiber) ได้แก่ เส้นใยอาหารที่มาจากพืช ผักและผลไม้ชนิดต่างๆ ประกอบด้วยกลุ่มเส้นใยที่เรียกว่า เซลลูโลส เฮมิ เซลลูโลสและลิกนิน เส้นใยอาหาร ประเภทนี้จะช่วยกระตุ้น การบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ทำให้ระบบการขับถ่ายของเสียและสารพิษต่างๆ เป็นไปได้ดี

OLIGOSACCHARIDES  โอลิโกแซคคาไรด์
เป็นคาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาลที่มีโมเลกุลประกอบด้วย โมโนแซคคาไรด์ ตั้งแต่ 3-10 โมเลกุล เช่น อะไมโลส (Amylose)  อะไมโลเพ็คติน (Amylopectin) เป็นต้น ซึ่งร่างกายสามารถย่อยหรือดูดซึมได้และมีความจำเพาะโมเลกุลกลุ่มจุลินทรีย์ไบฟิโดแบคเรียม (ฺBifidobacterium) และแลตโตแบซีลัส (Lactobacillus) หมายความว่าเมื่อน้ำตาล โอลิโกแซคคาไรด์ เข้าสู่ร่างกาย และร่างกายย่อยไม่ได้ก็จะถูกลำเลียงผ่านไปยังลำไส้ใหญ่จุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ก็จะทำการย่อยและดูดซึมเป็นอาหารให้จุลินทรีย์เหล่นี้ ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราเจริญเติบโตและเพิ่มปริมาณขึ้น จะทำให้เกิดการควบคุมตามธรรมชาติ ทำให้จุลินทรีย์ที่ไม่ดีลดปริมาณลงเป็นการรักษาสมดุลในลำไส้ใหญ่ ทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพลดอาการ ท้องเสียและท้องผูกช่วยในการดูดซึมของแคลเซียมและธาตุเหล็กต่อต้านการเกิดมะเร็งรวมทั้งป้องกันไม่ให้ตับต้องทำงานหนักอีกด้วย

GLUCOMANAN กลูโคแมนแนน
เป็นสารสำคัญซึ่งมีอยู่ในหัวบุก (Amorphophallus spp.) เกิดจากการรวมตัวกันของน้ำตาลกลูโคส (Glucose) และน้ำตาลแมนโนส (Mannose) ในอัตราส่วน 1:2 จัดเป็นไฟเบอร์หรือกากอาหารชนิดที่ละลายในน้ำได้ซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยได้ดังนั้นจึงมีคุรสมบัติช่วยในการดูดซับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงจนเกินไปและยังทำให้รู้สึกอิ่ม และรับประทานอาหารได้น้อยลง นอกจากนี้ยังช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยช่วยจับตัวกับน้ำดีในลำไส้ใหญ่ เนื่องจากน้ำดีที่หลงเหลืออยู่ในลำไส้ใหญ่ เมื่อทำปฏิกริยากับแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่จะกลายเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งต่อลำไส้ใหญ่ได้ กลูโคแมนแนนจึงช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี สามารถ ขับทิ้งสารพิษออกจากลำไส้ใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว

PSYLLIUM SEED HUSK  ไซเลี่ยม ซีด ฮัสค์
มีชื่อไทยว่า เทียนเกล็ดหอย ซึ่งมีถิ่นกำเนิดจากประเทศอิหร่าน อินเดีย และตะวันออกกลาง เป็นประเภทไม้ล้มลุก นำเอาเมล็ดแก่มาใช้ ซึ่งมีสารมิวซิเลจ (Musilage) 10% เมื่อแช่น้ำจะพองตัว ได้ถึง 25 เท่า สามารถดูดซับน้ำตาลและไขมัน ช่วยลดการดูดซึมของไขมันและพลังงานที่จะเข้าสู่ร่างกายได้ ทำให้ระบบการทำงาน และการบีบตัวของลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดอาการท้องผูก อีกทั้งทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว ช่วยในการลดความอ้วนได้อย่างดี นอกจากนี้เทียนเกล็ดหอย มีไฟเบอร์ที่มีลักษณะเป็นเจล  ประกอบด้วยไมโคร-โพลีแซคคาไรด์ (Micro-Polysaccharides) และ เซลลูโลส (Cellulose) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยหล่อเลี้ยงลำไส้ ซึ่งเป็นทางผ่านของกากอาหาร

WHEAT GRASS วีทกราส
วีทกราส (Wheat Grass ) เป็นต้นอ่อนข้าวสาลี ที่มีคลอโรฟิลล์ สูงถึง70% ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ อุดมด้วยวิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย



BETA CAROTENE เบต้า แคโรทีน
เป็นสสารที่อยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Caroteniod ) ซึ่ง เป็นสารต้นตอของวิตามิน เอ (หมายถึง สารที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจึงเปลี่ยนไปเป็นวิตามิน เอ ) ปัจจุบันพบว่าสารเบต้าแคโรทีนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant ) ป้องกันอาการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอดและมะเร็งระบบทางเดินอาหารเป็นต้น


CHITOSAN ไคโตซาน 
เป็นสารโพลีเมอร์ชีวภาพ ประเภทโพลีแซคคาไรด์ จัดอยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต มีโครงสร้างเป็นเส้นใยคล้ายคลึงเซลลูโลสจากพืช ไคโตซาน สามารถพบได้ในเปลือกของสัตว์ทะเล เช่น กุ้ง และปู ซึ่งนำมาผ่านกระบวนการพิเศษให้บริสุทธิ์ มีประโยชน์ในการช่วยยับยั้งการดูดซึมของไขมัน มีประสิทธิภาพสูงในการดูดจับไขมันจึงช่วยลดระดับคอลเลสเตอรอล อีกทั้งยังช่วยให้แบคที่เรียที่ดีในลำไส้เพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น และยังช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนอีกด้วยโดยการดูดซับพวก กรดออกซาลิค (Oxalie Acid) และกรด ฟอสฟอลิก (Phosphoric Acid) ซึ่งเป็นตัวจับแคลเซี่ยม ทำให้แคลเซี่ยมไม่ถูกดูดจับ และสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้



ดีท๊อกซ์ (การขจัดสารพิษในลำไส้ใหญ่)
หมายถึง กระบวนการขจัดของเสียและสารพิษต่างๆที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ของเราออกไปก่อนที่ของเสียหรือสารพิษเหล่านั้นจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเรา อันจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บและโรคเสื่อมสภาพของร่างกายได้ การขจัดของเสียหรือสารพิษออกจากลำไส้ยังทำให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งโดยปกติในลำไส้ของมนุษย์เราจะมีจุลินทรีย์เหล่านี้อาศัยอยู่แล้วเรียกว่า ไมโครฟลอรา (Microflora) หรือนอร์มอลฟลอรา (Normal Flora) โดยฉพาะจุลินทรียืที่สร้างประโยชน์ให้แก่ร่างกายของเราที่รู้จักกันในชื่อ ไบฟิโด แบคที่เรียม (ฺBifidobacterium) และแลคโตแบซิลัส (Lactobacillus ) การขจัดพิษหรือการทำดีท๊อกซ์จึงส่งผลดี และลดอัตราเสี่ยงที่สารพิษจะทำอันตรายต่อลำไส้ใหญ่ รวมทั้งอวัยวะอื่นๆภายในร่างกายด้วย

หุ่นเพรียวสวย..สุขภาพดี ด้วยวิธีง่ายๆ

หลักการง่ายที่สามารถช่วยให้เราลดน้ำหนักได้มีเพียง 3 ข้อเท่านั้น คือ

1. การควบคุมอาหาร รู้จักเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม ไม่มากเกินไป และหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานสูง แม้จะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากก็ตาม  ถ้าอยากลดน้ำหนักก้ต้องพยายาม ถ้าหากพยายามแล้ว ไ่ม่เห็นจะลดได้สักทีก็อาจต้องหาผู้ช่วย เช่น การลดการได้รับพลังงานเข้าสู่ร่างกาย ดดยการยับยั้งการดูดซึมของอาหารที่เรามักจะรับประทานเป้นจำนวนมากในแต่ละวัน โดยเฉพาะอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปแล้วว่า สาร สกัดจากถั่วขาว (ฟาซิโอลามิน) และสารสกัดจากโปรตีนถั่วเหลือง ที่ผ่านการหมัก (ทูโอชิ) มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเอ็นไซม์ที่ย่อยคาร์โบไฮเดรตได้ดี จึงสามารถลดพลังงานที่จะเช้าสู่ร่างกายได้ ทำให้เราไม่อ้วนเพราะไม่มีพลังงานส่วนเกินนั่นเอง

2. การออกกำลังกาย หากสามารถทำควบคู่กับการควบคุมอาหารจะได้ผลดีในการลดน้ำหนัก แต่สิ่งสำคัญก้คือ ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอให้ได้อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์และไม่ควรน้อยกว่า 30 นาที ต่อครั้ง

3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยการเลือกรับประทานอาหาร งดดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม อาหารทอด อาหารมันๆ การรับประทานตอนดึกๆ เป็นต้น

Block&Burn ตอนที่2 เทคนิคการลดน้ำหนัก ได้ผลจริง: AG BLOC

SLIMMING  TECHNIQUE 
เทคนิคการลดน้ำหนัก..จากประสบการณ์ตรงของ..นพ.พนินทร์ ชนเลอเกียรติ์


พยายามค้นหาแรงบันดาลใจที่จะเป็นเหตุผล หรือความตั้งใจที่แน่วแน่ว่าทำไมเราถึงอยากที่จะลดน้ำหนัก เราต้งการอะไร และคอยเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าครั้งนี้ เราสามารถลดน้ำหนักลงได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน


จากประสบการณ์การลดน้ำหนัด ของ นพ.พนินทร์ ชนเลอเกียรติ์ ที่สามารถลดน้ำหนักลงได้ 13.8 กิโลกรัม ในระยะ เวลา 6 เดือน และไม่มีการกลับมาอ้วนอีก คุณหมอมีวิธีการลดน้ำหนักและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตดังต่อไปนี้

1.รับประทาน เอจี บล็อค 1-3 เม็ด ก่อนอาหาร 10-15 นาที ทุกมื้อ ขึ้นกับว่ามื้อนั้นๆ รับประทานอาหารมากน้อยแค่ไหน ถ้าปริมาณอาหารที่รับประทานมาก ก็จะรับประทาน เอจีบล็อค 3 เม็ด เคล็ดลับคือ ให้สังเกตว่าช่วงที่รับประทาน เอจี บล็อค 1 เม็ด ก่อนอาหาร 7-10 วันแล้ว แต่ไม่รู้สึกว่าน้ำหนักลดลงเลย แสดงว่าพลังงานยังเกินอยู่ จึงต้องปรับจำนวน เอจี บล็อค เพิ่มขึ้นเป็น 2-3 เม็ด ก่อนอาหาร แต่ละมื้อก้จะเริ่มสังเกตว่า น้ำหนักจะค่อยๆลดลง

2. ในเดือนแรกของการลดน้ำหนัก คุณหมอจะรับประทาน โอลิโกไฟเบอร์ 1 ซอง ผสมน้ำเย็น 200 ซีซี. ก่อนมื้อเย็น 15-30 นาที ทุกวัน เพื่อทำให้ไม่รับประทานอาหารมื้อเย็นมากจนเกินไป และก่อนรับประทานอาหารเย็น สัก 5-10 นาที ก็ยังต้องรับประทาน เอจี บล็อค 2 เม็ดด้วยเช่นกัน

3. ในเดือนแรกของการลดนำ้หนัก  จะรับประทาน โอลิโก ไฟเบอร์ 1 ซอง ผสมน้ำเย็น 200 ซีซี  ก่อนนอนเป้นประจำทุกคืนเพื่อช่วยล้างสารพิษในลำไส้และปรับการทำงานของลำไส้ให้สมดุล

4.ชั่งน้ำหนักตัวสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อให้เราทราบการเปลี่ยนแปลง โดยส่วนใหญ่น้ำหนักจะไม่ได้ลดลงให้เห้นชัดๆ วันต่อวัน แต่จะค่อยๆ เห็นน้ำหนักที่ลดลงในช่วงทุกๆ 7-14 วัน

5. ตลอดเวลา 6 เดือน ที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ไม่ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหารมากนัก แต่พยายามเลือกรับประทานเครื่องดื่มที่มีพลังงานน้อย โดยเฉพาะการดื่มกาแฟวันละหลายๆแก้ว ก็ต้องเป็นกาแฟพลังงานต่ำอย่าง สเลนต้า คอฟฟี่ ที่นอกจากจะไม่มีน้ำตาล ไม่มีคลอเลสเตอรอลและยังช่วยในการเผาผลาญไขมันร่างกายอีกด้วย

6. ในระหว่างการลดน้ำหนัก คุณหมอยังคงรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันรำข้าวจมูกข้าว ไวทอลสตาร์ เป็นประจำ มื้อละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หลังอาหารเพื่อดูแลสุขภาพโดยรวมตามปกติ

7. มีการให้รางวัลกับตัวเอง ในทุกๆ ครั้งที่น้ำหนักลด 2 กิโลกรัม เช่น การ ซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่ รองเท้าใหม่ เข็มขัดใหม่ เป็นต้น เพราะการให้รางวัลเมื่อเราประสบควาสำเร็จไปทีละขั้น จะทำให้เรามีกำลังใจที่จะลดน้ำหนักต่อจนประสบความสำเร็จครบถ้วนตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้


8. พยายามค้นหาแรงบันดาลใจที่จะเป็นเหตุผล หรือความตั้งใจที่แน่วแน่ว่าทำไมเราถึงอยากที่จะลดน้ำหนัก เราต้องการอะไรและคอยเติมพลังความเชื่อมั่นให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าครั้งนี้ เราสามารถลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน

9. ความสม่ำเสมอและต่อเนื่องในการรับประทาน เอจี บล็อค ตลอดระยะเวลาที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนักมีควาสำคัญมากๆ เพระาหลายครั้งที่เรามักลืมและเมื่อลืมบ่อยครั้งเข้าเราก็อาจจะล้มเลิกการลดน้ำหนักและยอมที่จะอ้วนเหมือนเดิม สังเกตว่า ระหว่างที่กำลังลดน้ำหนัก มักจะมีช่วงเวลาที่เราจะเกิดความรู้สึกแว้บเข้ามาว่าสู้ต่อไปจะดีมั้ย แต่ถ้าเราเข้าใจและอดทนมากพอ เราก็จะสามารถผ่านการต่อสู้ของจิตใจได้ และในที่สุด เราจะเป็นคนหนึ่งที่มีหุ่นเพรียวสวยเป็นอนุสาวรีย์แห่งความสำเร็จของเรา ทุกๆครั้งที่ส่งอกระจก ขอหใ้ทุกคนโยนความอ้วนทิ้งไปสักทีเถอะ

Block&Burn จากประสบการณ์จริง!

บทสัมภาษณ์พิเศษ..เคล็ดลับ การลดน้ำหนักของคุณหมอ

คุณหมอพนินทร์ ชนเลอเกียรติ์ พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่สามารถลดน้ำหนักได้สำเร็จสักที หลายๆครั้งก็ใช้วิธีอดอาหาร กินให้น้อยลง แต่ก็มักจะทนกับความหิวไม่ไหว บางครั้งก็เอาชนะตัวเอง โดยการไปออกกำลังกาย เล่นโยคะ พอน้ำหนักเริ่มลดได้วัก 2-3 กิโลกรัม  น้ำหนักก็กลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม จนน้ำหนักตัวเพิ่มสูงถึง 91 กิโลกรัม  คุณหมอก็รู้สึกกังวลมาก กางเกงที่เคยใส่ขนาด34 นิ้ว ขึ้นมาจนเกือบเป็น 40 นิ้ว คุณหมอบอกว่าเหมือนได้ชีวิตใหม่ทีสดชื่นอีกครั้งเมื่อได้รับประทาน เอจี บล็อค มื้อละ 2 เม็ด และที่สำคัญไม่ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือนิสัยการรับประทานอาหารมากเกินไป มื้อไหนที่กินอาหารเยอะหนือยก็เพิ่ม เอจี บล็อค เป็น 3-4 เม็ด ก่อนอาหาร 15 นาที ชีวิตมีความสุขขึ้นมาก น้ำหนักตัวเริ่มลดลงเรื่อยๆ จาก 91 เป็น 81 กิโลกรัม ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2550 ถึง มิถุนายน 2550 เพียงแค่ 4 เดือนทำให้สามารถลดนำหนักลงได้อย่างสมดุลถึง 10 กิโลกรัม เริ่มกลับมาใส่กางเกงขนาดเอว 33-34 นิ้ว ได้เช่นเดียว เคล็ดลับที่คุณหมอใช้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ  มื้อเย็นที่ปกติจะรับประทานอาหารค่อนข้างมาก ก็จะชงโอลิโก ไฟเบอร์ 2 ซอง ดื่มก่อนอาหาร 30 นาที ทำให้มื้อเย็นกินอาหารได้น้อยลง ลดพลังงานที่จะเข้าสู่ร่างกายได้ดีทีเดียว คุณหมอ สังเกตว่าน้ำหนักจะลดลงได้ดีมากๆ คุณหมอบอกว่า นับเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมาก เพราะนอกจากจะไม่อ้วนอึดอัดแล้ว สุขภาพก็ดีขึ้น ไม่เคยคิดว่าจนถึงวันนี้ที่มีอายุ  48 ปีแล้ว จะสามารถควบคุมและลดน้ำหนักได้ดีเช่นนี้ ต้องขอบคุณ เอจี บล็อค จริงๆ

ลดน้ำหนักอย่างไรให้ได้ผล??

แนวทางการลดน้ำหนักให้ได้ผลดี มี 2 วิธี คือ

1.รับน้อย
รับประทานอาหารอาหารให้ได้พลังงานน้อยลง เช่นรับประทานอาหาร จำพวกแป้ง น้ำตาลน้อยลง หรือรับประทานอาหารไขมันน้อยลง

2.ใช้มาก
ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น หรือใช้พลังงานมากขึ้น




ตัวช่วยที่จะทำให้การลดน้ำหนักง่ายกว่าที่เคยเป็น

ตัวช่วยให้รับน้อย--------------------------------
สารสกัดจากถั่วขาวและถั่วเหลืองหมัก (White Bean and Soy Bean Extract)
โดยปกติแป้งและน้ำตาล จะมีโครงสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่ที่ร่างกายไม่สามารถดุดซึมได้  จำเป็นที่จะต้องถูกย่อยดดยเอ็นไซม์ อัลฟ่า-อะไมเลส ให้กลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ และน้ำตาลโมเลกุลคู่ก็จะถูกย่อยต่อไป โดย เอ็นไซม์ อัลฟ่า-กลูโคซิเดส ให้กลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ซึ่งสามารถดูดซึมสู่ร่างกายได้

จากการศึกษาของนักวิทยาศาตร์พบว่า สารสกัดจากถั่วขาวมีสาร ฟาซิโอลามีน (Phoseolamine)  ที่สามารถยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ อัลฟ่า-อะไมเลส ทำให้น้ำตาลโมเลกุลขนาดใหญ่ ไม่ถูกย่อยเป็นน้ำตาล โมเลกุลคู่ และสารสกัดจากถั่วเหลืองหมักที่เรียกว่า โทอูชิ (Touchi) จะมีฤทธิ์ในการยับยั้งไม่ให้น้ำตาลโมเลกุลคู่ถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ในที่สุดร่างกายก็จะได้รับพลังงานจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรทน้อยลง

สารสกัดจากพริก (Capsicum Extract)
สารสกัดจากพริกมีสาระสำคัญที่ชื่อว่า Capsaiciniod ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรทได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานพื้นฐานของร่างกายอีกทางหนึ่งด้วยในปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่สามารถเคลือบผิวชั้นนอกของสารดังกล่าวไว้ เพื่อไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารสกัดจากพริกยังสามารถช่วยลดอาการหิว ทำให้รู้สึกอิ่มได้เร้วขึ้น มีคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดอ๊อกซิเดชั่นของไขมันในกระแสเลือด จึงช่วยลดปริมาณไขมันที่พอกตามผนังหลอดเลือดได้



ตัวช่วยให้ใช้มาก---------------------------------
สารสกัดจากส้มแขก (Garcinia Cambogia)
จะมีสาระสำคัญที่เรียกว่า ไฮดร็อคซี ซิตริก แอซิด (Hydroxy Citric Acid, HCA) ซึ่งมีคุณสมบัติที่สำคัญดังต่อไปนี้ 
1.ยับยั้งการทำงานของเอ็มไซม์ เอทีพี ซิเตรต ไลเอส (ATP Citrate Lyase) ที่จะเปลี่ยนกลูโคส ให้เป็นไขมันสะสม จึงช่วยยับยั้งกระบวนการการสร้างไขมัน (Lipogenesis)
2.เพิ่มการสลายกรดไขมัน โดยการส่งไขมันเข้าสู่เซลล์เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงาน 
3.ส่งสัญญาณให้มีการหลั่ง Seratanin เพิ่มขึ้น ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและช่วยลดความอยากอาหาร


แอล-ฟิลอะลานีน ( L-Phynylalanine)
เป็นกรดอะมิโนจำเป็น (Essential Amino Acid) ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดของโปรตีน มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการหลั่งสารโคลีซีสโตโคนิน (Cholecystokinin.CCK) ซึ่งมีคุณสมบัติในการควบคุมศุนย์อิ่มของร่างกาย ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและลดความรู้สึกอยากอาหารให้น้อยลง


แอล-ออร์นิทีน (L-Ornitine)
เป็นกรดอะมิโนไม่จำเป็น (Non-Essential Amino Acid) ชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์กระตุ้นต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมนสำหรับการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ซึ่งช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญไขมัน รวมถึงช่วยเพิ่มการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้กับร่างการได้อีกทางหนึ่งด้วย



แอล-คารน์นิทีน แอล-ทาเตรท (L-Carnitine L-Tatrate)
มีคุณสมบัติในการนำพาไขมันไขมันเข้าสู่เซลล์ ทำให้มีการใช้ไขมันเป็นพลังงานได้เพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ จึงช่วยลดการสะสมของไขมันในร่างกาย ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้จะเป็นการทำงานส่งเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกันได้ดีกับสารสกัดจากส้มแขก

แคลเซี่ยม ไพรรูเวท (Calcium Pyruvate)
ช่วยในการเผาผลาญอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต แป้ง หรือน้ำตาล ไปเป็นพลังงาน จึงช่วยลดปริมาณของน้ำตาลส่วนเกินไม่ให้ถูกเปลี่ยนไปสะสมในรูปของไขมัน

โครเมี่ยม พิโคลิเนท (Chromium Piconate)
ช่วยเพิ่มกระบวนการเผาผลาญทั้งไขมันและคาร์โบไฮเดรท รวมทั้งช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้ออีกด้วย

สารสกัดจากเมล็ดกาแฟ (Green Coffee Bean Extract)

มีสาระสำคัญคือ กรดโคโรจินิก (Chlorohgenic Acid) และคาเฟอีน (Caffeine) ซึ่งมีโพลีฟีนอล (Polyphenol) เป็นโครงสร้างที่ออกฤทธิ์สำคัญๆ หลายประการ คือ
1. ยับยั้งการดูดซึมของคาร์โบไฮเดรทโดยยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ อัลฟ่า-กลูโคซิเดส
2. ยับยั้งการดูดซึมของไขมันโดยยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ที่ย่อยไขมัน (Pancreatic Lipase) และช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ ในเลือด
3. ยับยั้งการสะสมของไขมันในร่างกายและป้องกันการสะสมของไขมันในตับ (Fatty Liver)
4. เพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย
5. ส่งเสริมให้เอ็นไซม์ คาร์นิทีน ปามิโตอิล ทรานซ์เฟอร์เลส (Carnitine Pamitoyl Transferase) ในตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีการนำไขมันไปใช้เป็นพลังงานได้ดีขึ้น 
6. กระตุ้นการสร้างคาร์โบไฮเดรทจากสารที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรท ทำให้เกิดการใช้พลังงานที่สูงจึงช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานอีกทางหนึ่งด้วย
7. มีฤทธิ์เพิ่มการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระซุปเปอร์อ็อกไซด์ดิสมิวเทส (Superoxide Dismutase, SOD)

โรคอ้วน คืออะไร

ประชากร ที่เป็น"โรคอ้วน" มีจำนวนมากขึ้นทุกวันเนื่องมาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารรวยมทั้งสังคม และชีวิตความเป็นอยุ่ในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปจากอดีตการรับประทานอาหารที่ไม่ได้สัดส่วนที่เหมาะสม โดยเฉพาะอาหารประเภท คาร์โบไฮ-เดรต แป้ง  น้ำตาล และไขมันล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมัน จนเกิดโรคอ้วนและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา อาทิ โรคหลอดเลือดและหัวใจ รคความดันโลหิตสูง ดรคกระดูกและข้อเสื่อม เราจึงควรให้ความสนใจกับการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น เพื่อความสมบูรณ์ และแข็งแรงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

ความอ้วน ในที่นี้หมายถึงความอ้วนที่มากเกินไป มีน้ำหนักมากกว่าที่ควรจะเป็น ไม่ใช่อ้วนกำลังดี อ้วนพองาม หรือกำลังสวย ซึ่งเป็นความหมายที่คนทัวไปไม่ปรารถนา ถ้าคุณถูกทักว่า "ดูคุณอ้วนขึ้นนะ ทำไมเดี๋ยวนี้อ้วนจัง" คุณก็คงไม่ค่อยพอใจนัก คนที่เป็นโรคอ้วนนั้นหมายถึงผู้ที่มีปริมาณไขมันมากกว่าเกณฑ์ปกติ ซึ่งเรามีวิธีการ ดูง่ายๆ ดังนี้

1.สูตรการคำนวณน้ำหนักตัวเฉลี่ย
ผู้ชาย : ส่วนสูง(ซ.ม.)-105(+-10) = น้ำหนักที่เหมาะสม
ผู้หญิง : ส่วนสูง(ซ.ม.)-110 (+-10)= น้ำหนักที่เหมาะสม
หากผลลัพท์มากกว่าน้ำหนักจริง ถือว่าเป็นโรคอ้วน

2. กาารคำนวณค่าดัชนีมวลกาย (ฺBMI  : Body Mass Index)
โดยมีสูตร ดังนี้
BMI = น้ำหนักตัวจริงเป็นกิโลกรัม/ (ส่วนสูงเป็นเมตร)ยกกำลัง2
ความหมายของคำว่า BMI
ต่ำกว่า  18.5  หมายถึง น้ำหนักน้อย
18.5-22.9  หมายถึง น้ำหนักปรกติ
23.0-24.9 หมายถึง น้ำหนักเกิน
25.0-29.9 หมายถึง โรคอ้วน
มากกว่า 30 หมายถึง โรคอ้วนมาก

สาเหตุของโรคอ้วน
1.พันธุกรรม ถ้าพ่อแม่เป็นโรคอ้วน ลูกที่เกิดมาก็มีโอกาสเป็นโรคอ้วนสูง
2.รับประทานอาหารมากเกินไปหรือการรับประทานอาหารจุบจิบระหว่างมื้อรวมถึงการรับประทานอาหารที่มีไขมันและให้พลังงานสูง
3.พฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน ที่ทำให้ร่างกายมีการนำพลังงานออกมาใช้น้อยเกินไป
4.ป่วยเป็นโรคบางชนิด เช่น Cushings Syndrome ซึ่งจะทำให้ร่างกายของผู้ที่ป่วยโรคนี้อ้วนได้อย่างมาก

ภาวะแทรกซ้อนจาก โรคอ้วน
อัตราการเสียชีวิตของคนอ้วนมากมีสูงขึ้นกว่า คนปกติถึง 2-12 เท่า อีกทั้งโรคอ้วนยังก่อให้เกิดโรครวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่างๆของร่างกาย เช่น
1.เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิด โรคหลอดเลือดและหัวใจ 2-3 เท่า
2.เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิด โรคนิ่วในถุงน้ำดี
3.เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ เช่น ตับแข็ง (Cirrhosis)
4.เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น ลำไส้ใหญ่ มดลูก ปากมดลูก เยื่อบุมดลูก ต่อมลูกหมาก รังไข่ เต้านม ถุงน้ำดีและตับอ่อน
5.เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวตับไต ต่างๆ เช่น นิ่ว ไตวาย จากความดันโลหิตสูง เป็นต้น
6.เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน (DiabetesMellitus)
7.เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดในสมองแตกหรือเส้นเลือดในสมองอุดตัน (Stoke)
8.เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นหมัน (Infertility)
9.เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้า (Depressin) จิตใจหดหู่ เศร้าหมอง แยกกลุ่ม เก็บตัว ไม่อยากเข้าร่วมสังคมและขาดความั่นใจในตนเองเป็นต้น
10.ปัญหาต่ออาการเส้นเลือดขอด (Varicose Vein) ในบริเวณขาที่รับ น้ำหนักทั้งสองข้าง
11.ปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจและปอด นอนกรน (Snoring) ง่วงนอนในเวลากลางวัน หลับใน
12.ปัญหาต่อโรคกระดูกและข้อต่อ โรคข้อต่อเสื่อม (Osteoarthritis in Joints) โดยเฉพาะบริเวณสะโพก หัวเข่า ข้อศอก โรคเก๊าท์ (Gout)

แนวทางการลดความอ้วน
1.การลดปริมาณพลังงานที่ร่างกายได้รับจากการรับประทานอาหารในแต่ละวัน
2.การดึงไขมันส่วนเกินออกมาใช้ทดแทนพลังงานที่ขาดหายไป
3.การเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานของร่างกายในแต่ละวัน
4.การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตในแต่ละวัน

ติดตาม เทคนิค "การลดน้ำหนักอย่างไรให้ได้ผล" ในบทความถัดไปนะคะ